วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เด็ก 2 ภาษา

จากวันที่ 1 ก.พ.2553 เป็นวันที่อ้อมเริ่มสอนลูกอย่างจริง ๆ จัง ๆ คือเราเริ่มทำ OTOL แล้วค่อย ๆ เพิ่มเป็น OPOL มา ก็ 5 เดือนกว่า ๆ แล้ว คิดได้นานแล้วว่าอยากเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้คนอื่น ๆได้ฟังบ้าง เพราะหลาย ๆ คนคงสงสัยว่าทำได้ยังไงกับการสอนเด็กโตแล้ว (พี่เมือง 7 ขวบเต็ม และน้องขมิ้น 5.9 เดือน ตอนที่เริ่ม) เริ่มจากได้หนังสือเด็ก 2 ภาษาพ่อแม่สร้างได้(ประมาณเดือนก.ย.52) จากความอนุเคราะห์ของพี่สาวแท้ ๆ ที่เด็ก ๆ เรียกว่าแม่อ้อต้องขอเอ่ยชื่อพี่อ้อ เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีแด่เธอซะหน่อยค่ะ
เพราะถ้าไม่ได้เธอ อ้อมก็คงไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้ หรือเรื่องราวของครอบครัวน้องเพ่ยเพ่ย คือแม่อ้อเป็นคนได้ดูรายการครอบครัวเดียวกันแล้ว โทรมาบอกให้อ้อมดู ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้ดูหรอกค่ะ เพราะมันดึก แบบว่าลูกหลังแม่หลับด้วยอ่ะ แต่พอได้ดูรายการย้อยหลังทางอินเตอร์เน็ทแล้ว อึ้ง ทึ่งกับแนวคิดของคุณบิ๊ก และน้องเพ่ยเพ่ยมาก (โอ้....ทำได้ไงเนี๊ยะ) ทำไมลูกเค้าเก่งจัง พูด
Eng ยังกะเด็กฝรั่งแน่ะ แล้วแม่อ้ออีกนั้นแหละซื้อหนังสือมาให้อ้อมเสร็จสรรพ แล้วบอกให้เข้า web ดูด้วยนะ ทั้ง ๆ ที่แม่อ้อน่ะ เช้ยเชยนะคะเข้าเวป-แวป อะไรไม่เป็นหรอก (ย้อนเล่าความหลังมากไปหน่อย)
จากนั้นพอได้ลองเข้า web และสมัครสมาชิก ก็เริ่มพูดกับลูก ๆ บ้างแบบ OTOLแต่ด้วยความที่ไม่มั่นใจในภาษาของตัวเองเลย เพราะปมด้วยว่าภาษา Eng ของตัวเองแย่มาก ๆ เลยล้มเลิกการพูดกับลูกไปตั้งแต่เดือน ก.ย นั้นเอง แต่ระหว่างนั้นลูกก็ได้ฟังเพลง
MP3 ได้ดูคายุ นะคะแต่พ่อแม่ได้ได้พูด Eng กับลูกค่ะห่างหายจากการเข้า web ไปนาน พอกลับมาเข้าอีกทีประมาณเดือน ม.ค. ได้รับ email จากคุณบิ๊กว่าจะมีการจัด workshop ที่เชียงใหม่ เลยขอให้สามีเข้าไปฟังด้วยกัน เพราะสามีเป็นคนที่ภาษาค่อนข้างดี
แต่ต่อต้านเล็กน้อย ไม่อยากเร่งรัดหรือบังคับลูกไม่อยากให้เราบังคับให้เค้าต้องพูด
Eng พอตกลงใจได้ว่าจะเข้า workshop ก็ลุยเลยค่ะ รู้สึกว่ามี workshop จะมีประมาณ 21 ก.พ.53 เราก็เริ่มกับลูกตั้งแต่ 1 ก.พ. 53 เลยค่ะ โดยแม่ทำ OPOL แบบอึดอั๊ด อึดอัด เพราะเราอยากพูดกับลูก 100% แต่มันทำไม่ได้ เพราะเราไม่เก่ง Eng บางวันพาลไม่อยากพูดกับลูกไปเลยค่ะ ส่วนคุณพ่อก็แล้วแต่อารมณ์ของเค้า ไม่ว่ากัน เมื่อเราอยากให้ลูกพูด Eng ได้เราก็ต้องเริ่มเองอย่ารอใครเลย (ตอนนี้คิดนะคะว่าถ้าปาป๊าไม่เอาด้วยก็ไม่เป็นไร ฉันลุยเอง) พอผ่าน workshop เหมือนอะไร ๆ ที่เคยกังวลมันละลายหายไปหมดเลยค่ะ มาเข้าใจว่าก็ถ้าเรายังพูดแบบ OPOL ไม่ได้ก็ OTOL ไป สิจะมานั่งกดดันตัวเอง กดดันลูกทำไมทำไปแล้วตัวเองก็เครียดลูกก็เครียดไม่มีใครอยากทำหรอก รู้หลักการแล้วทีนี้สบายใจขึ้นมากลูก ๆ ก็เริ่มผ่อนคลายค่ะ ปาป๊าเริ่มเห็นด้วยว่าแนวคิดนี้ work ทำได้อย่างไม่ต้องกดดัน คราวนี้เลยลุยกันอย่างเต็มที่ค่ะ

พื้นฐานของลูกก่อนการสอน

พี่เมือง : ค่อยข้างเก่งเรื่องภาษาอังกฤษมากก่อนอยู่แล้วค่ะ สังเกตได้จากที่คุณครูที่สอน Eng ทุกคน ตั้งแต่อนุบาล 1 จะชมว่าทำยังไงพี่เมืองถึงเข้าใจเวลาครูพูด Eng และพยายามสื่อสารกับครู Eng เสอม ๆ น่าจะเริ่มมาจากการที่เราสอนลูกตั้งแต่เล็ก ๆ ค่ะ แบบว่า A-ant มด, red-สีแดง คือสอนไปแปลไปตั้งแต่ลูกเกิดค่ะ เพราะความตั้งใจครั้งแรกของแม่คืออยากให้ลูกเก่ง Eng เพื่อลบปนด้อยของแม่ค่ะ พี่เมืองชอบดู VCD ไซโดมอน เสือน้อยสอนคำศัพท์ที่มีขายใน Big C ค่ะ 1 แผ่นมีประมาณ 2000 คำศัพท์ได้แต่เป็นการสอนศัพท์ที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะคนพูดออกเสียงหนักเบาไม่ถูกต้องคืออ่านไม่ถูกนักค่ะ แต่อันนี้ทำให้พี่เมืองรู้ศัพท์เยอะมาก เยอะกว่าที่พ่อ-แม่เรียนมาทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ แล้วก็ดู VCD เพลง ภาษาอังกฤษ ที่เด็กจีนร้อง (ไม่ชัดเท่าไรแถมภาพกับเพลงคนละเรื่องเดียวกันซะอีก) ดู ๆ ๆ ๆ ๆ ทุกวันตั้งแต่ 4 ขวบเห็นจะได้ คือประมาณว่าแม่ไม่เคยให้ดูการ์ตูนโดเรมอน หรือการ์ตูนอื่น ๆ เลย ตอนนั้นลูก ๆ เชยมาก ๆ ค่ะ เพื่อน ๆ พูดเรื่องการ์ตูนกันพี่เมืองก็แอบเอามาพูดตามแต่ตัวเองไม่รู้จักเลยซักกะตัว ค่ะ

น้องขมิ้น
:จะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามพี่ชายค่ะ พี่ดูอะไรน้องดูด้วย พี่เล่นอะไรน้องเล่นด้วย การ์ตูนเจ้าหญิง คิตตี้ บาร์บี้อะไรก็ไม่รู้จักเลยค่ะแม่ก็ยังติดกับการสอนไปแปลไปมาตลอดจนมาเริ่มอ่านหนังสือเด็กสองภาษา ฯ และได้เข้าworkshop ทำให้เราได้แนวทาง และตัวอย่างมากมายในการพูดกับลูกค่ะ

เริ่ม 2 ภาษายังไง ก็เริ่มตามหนังสือเลยค่ะ

  1. วลี ทำทุกอย่างพร้อม ๆ กับการพูด Eng เป็น Verb + noun เช่น take a bath, brush you teeth, watch TV, get in the car ประมาณนี้เลยค่ะ แต่ทำไปให้เห็นภาพ ไม่ต้องแปล ***ลูกต่อต้านช่วงแรก ๆ
พี่เมือง : เราคนไทยนะครับไม่ใช้คนฝรั่งทำไปเราต้องพูด Eng ด้วย
แม่ : เราต้องฝึกครับ ถ้าเราฝึกกันที่บ้านเราก็จะพูดได้ไม่ต้องไปเรียน Cambridge ตอนเย็นไง (เทอมที่แล้วลูกเรียนพิเศษภาษาอังกฤษของ Cambridge ที่โรงเรียนแล้วลูกไม่อยากเรียนเพราะเหนื่อยมากต้องเรียนทุกวัน จ-พฤ 17.00-18.00 น.)

ขมิ้น : น้องไม่เข้าใจ อย่าพูด Engได้ไม๊น้องไม่รู้เรือง แล้วร้องไห้
แม่ : น้องฟังดูก่อนสิคะ ถ้าน้องไม่เข้าใจน้องก็ถาม แล้วมาม๊าจะอธิบายให้ฟัง (ก็เริ่มยอม ๆ ต้าน ๆ )

ลูก ๆ
: พวกเราพูด Engไม่เป็นเราไม่อยากพูด
แม่ : ก็พูดเท่าที่พูดได้ คำไหนลูกคิดไม่ออกก็พูดไทยไปแล้วมาม๊าจะช่วยเองค่ะ (ลูกเริ่มผ่อนคลายและพยายามพูดบ้างทีละเล็กละน้อย)
2. เล่านิทาน เอานิทานที่เคยเล่าภาษาไทยจนลูกจำเนื้อหาได้มาเล่าก่อนนอน เป็น English versionลูกก็จะเข้าใจความหมายโดยไม่ต้องแปลค่ะ เพราะเค้ารู้เรื่องเดิม ๆ อยู่แล้ว ต่อ ๆ มาเราก็เว้นช่วงให้ลูก ๆ เล่าต่อกันเองบ้างค่ะหรือให้ลองเล่านิทานจากจินตนาการก็ช่วยได้มาก
3. ดูการ์ตูนและฟังการ์ตูนค่ะ คือเนื่องจาก พี่เมือง (PM) และขมิ้น (KM) โตแล้วต้องไปโรงเรียนมีเวลาอยู่กับแม่น้อยลง ดังนั้นการจะให้นั่งดูการ์ตูน นาน ๆ ทำไม่ได้เพราะต้องมีกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย แม่เลยแปลง file การ์ตูนที่ลูก ๆ ชอบเป็น file MP3 สามารถฟังในรถ หรือก่อนนอนได้ ทำให้ลูกเข้าใจประโยคและรู้จักจินตนาการตามประโยคได้เลยค่ะ เพราะเค้าเห็นภาพจริงจากการ์ตูนแล้ว การ์ตูนที่เด็ก ๆ ดูได้แก่ 3.1 Caillou เป็นเรื่องแรกจากคำแนะนำในหนังสือ PM/KM ชอบมาก เพราะฟังง่าย
3.2
The Wonder Pets อันนี้หนังสือก็แนะนำค่ะ เด็ก ๆ ชอบเพราะภาพสวยมากๆ เพลงก็เพราะ

3.3
Cliffort the big red dog ดูบ้างแต่ไม่บ่อย
3.4
Max and Ruby
3.5 Dora the explorerอันนี้ลูกชอบแต่แม่ไม่ค่อยชอบ เพราะมันมีภาษาสเปนแทรก ทำให้ตอนนี้ลูกเอา 3 ภาษามาพูดปนกันค่ะ (ไทย-อัง-สเปน)

3.6
Peppa Pigอันนี้ได้มาใหม่ โหลดมาจาก Youtube การ์ตูนน่ารักคล้าย ๆ Caillou ภาษาอังกฤษชัดมาก แถมยังแปลศัพท์ให้เด็ก ๆ ฟังด้วย ตอนนี้กำลังติด Peppa pig กันมาก
3.7 ฟังการ์ตูน ( เรื่องที่ 3.1,3.2,3.6) ในรถ
3.8 ฟัง MP3 เพลง Eng บ้าง แต่ตอนนี้เริ่มเบื่อเพลงติดฟังการ์ตูนในรถค่ะ

****สิ่ง สำคัญคือการนั่งดูการ์ตูนพร้อม ๆ กับลูก พูดตามประโยคในการ์ตูนที่เราต้องการเน้นให้ลูกจำ และเป็นการกระตุ้นให้ลูกชอบการ์ตูนที่เราต้องการให้ลูกดูค่ะ เคยเห็นคำถามจากหลาย ๆ คนในหมู่บ้านว่าทำยังไงดีถ้าลูกไม่ยอมดูการ์ตูนที่เราเลือกให้
ของอ้อมเมื่อก่อนเด็ก ๆ ก็ติดเรื่อง
Tom&Jerry ต้อง ดูทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนอ้อมอยากให้ดูคายุ ก็บอกว่าคายุน่ารักนะ ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ แบบว่าสร้างความอยากให้ลูกค่ะ แล้วบอกว่าต้องดูเป็น Eng เพราะถ้าดูเป็นพากษ์ไทยเสียงมันตลกๆ ไม่น่าฟังเลย ลูก ๆ ก็จะเริ่มชอบดูค่ะ พอจะเปลียนเป็น Wonder Pets เรา ก็เอามาดูเองก่อนแล้วกระตุ้นให้ลูกอยากดูอีกค่ะตอนนี้ลูกเริ่มชอบดูการ์ตูน ทุกอย่างที่แม่เลือกให้เพราะรู้ว่าแม่ก็ชอบแม่ก็ร้องเพลงในการ์ตูนได้ เราจะร้องเพลงไปด้วยกันในรถค่ะ
4. อ่านหนังสือ Engคือด้วยความที่แม่น่ะอ่านหนังสือ Eng ไม่แตก (ไม่คล่อง) เลยต้องอ่านในใจไปก่อนแล้วสรุป ออกมาเล่าให้ลูกฟังจากรูปภาพด้วยเป็นภาษาง่าย ๆ ของแม่ค่ะ เพราะถ้าขืนอ่านไปแบบตะกุกตะกักลูก ๆ คงหมดอารมณ์ฟังไปซะก่อน

5. พยุงการพูด เสริม/ช่วยเวลาลูกนึกศัพท์ไม่ออกหรือถูกไม่ถูก เน้นเรื่องเสียงท้ายมาก ๆ ค่ะ ให้อ่านหนังสือโดยถ้าไม่อ่านเสียงท้ายจะต้องอ่านใหม่ แม่ชะชื้ให้เน้นเสียงท้ายจนลูกรู้ว่าต้องเน้น และในการพูดก็ต้องมีเสียงท้าย หรือถ้าคำไหนมีเสียง r แล้วลูกพูดไม่ออกเสียง r ก็แก้ให้ค่ะ
6. สร้างแรงบันดาลใจ แรก ๆ PM ไม่อยากเรียนพิเศษ Cambridgeที่โรงเรียนเลยยอมพูด/ยอมฝึกกับแม่ค่ะ เพราะถ้าไม่อยากพูด Engกับแม่จะต้องไปฝึกกับครูที่โรงเรียน เค้าไม่อยากเรียนตอนเย็นค่ะ หลัง ๆ PM อยากไปลาสเวกัส KM อยากไปอเมริกา เลยต้องพูด Eng กันให้ได้ และเด็ก ๆ มีความสุขเวลาที่ใคร ๆ ชมว่าพูด Eng เก่ง นี่ก็เป็นแรงบันดาลใจด้วยค่ะ

7. พูดประโยคเรื่องกาลเวลาซ้ำ ๆ เช่น It’s gone., I forgot…., Who told you….., you told me last night. เพื่อให้เค้ารู้จักการเปลี่ยน verb เป็นช่อง 2 ช่อง 3 โดยไม่รู้ตัว
8. ความถี่ จาก OTOL เพี่มเป็น OPOL แบบแม่เองก็ไม่รู้ตัวค่ะ สุดท้ายเวลาจะพูดไทยกับลูกมันจะรู้สึกแปลก ๆ ไปเอง คือจะไม่อยากพูดไทยกับลูกค่ะแต่ก็ยังพูดไทยกับลูกต่อหน้าคนอื่นที่เรารู้จัก แต่ไม่คุ้นเคยนะคะแต่ต่อหน้าคนไม่รู้จัก หรือคนที่เราคุ้นเคยแล้วเราก็พูด Eng กันค่ะ)และยังพูดไทยเวลาสอนเรื่อง EQ ค่ะ

เข้าเดือนที่ 5 ลูกมีโหมด Eng ชัดเจนมากพูด Eng กับแม่ แม้แต่ตอนตื่นมาขอฉี่ตอนกลางคืนยังพูด Eng เลยค่ะ ละเมอเป็น Eng
ก็มีแล้ว ลูกเริ่มเล่นกันเองเป็น
Eng โดยจำประโยคและสำเนียงจากการ์ตูนมาพูดกันอย่างสนุกสนานและเริ่มสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น โดยพูดกับปาป๊าเป็น Eng เกือบ 100 % และพูด Eng กับแม่มากกว่า 70% โดยอาศัยการกระตุ้นน้อยลง ภาษาของแม่ก็ดีขึ้นด้วยค่ะ เด็ก ๆ สามารถเปลี่ยนโหมดจากการพูด Eng กับแม่หันไปพูดไทยกับคุณยายอย่างไม่มีหลุด Eng กับคุณยายเลยค่ะ KM เป็นที่โปรดปรานของครูฝรั่งทุกคนรวมทั้งครูไทยที่สอน Engด้วยเพราะสามารถเข้าใจที่ครูพูดทันทีโดยไม่ต้องรอการแปล และสามารถสื่อสารเป็นประโยคยาว ๆ กับครูได้ ส่วน PM ก็สื่อสารกับครูได้มาก จนเพื่อน ๆ ในห้องเอาไปบอกแม่ตัวเองว่า อยากพูด Eng บ้างแล้ว เพราะขนาดเมืองไม่ใช่ลูกฝรั่งยังพูด Eng ได้เหมือนฝรั่งเลย อันนี้คุณแม่ของเพื่อนเล่าให้ฟังค่ะ (แม่อ้อมแอบปลื้มใจมากเลยนะ) หลาย ๆ คนพอเห็นเด็ก ๆ พูด Eng ได้ ก็ถามว่าทำได้ไง เรียนร.ร.อินเตอร์ ฯ เหรอ อ้อมก็จะยกความดีความชอบให้หนังสือเด็กสองภาษา ฯ ค่ะ เพราะถ้าไม่มีหนังสือเล่มนี้ก็คงไม่มีวันนี้
ทุกวันนี้เราก็ยังต้องเน้นกันไปเรื่อย ๆ เพราะเรายังไม่ใช่เด็ก 2 ภาษาจริง ๆ แค่พอจะเริ่มทำได้ ดังนั้นยังต้องพัฒนากันไปเรื่อย ๆ ทั้งแม่และลูกค่ะ ปัญหาก็ยังมากมายเช่นเรื่องประโยคกาลเวลาซ้ำซ้อนต่าง ๆ ก็ยังไม่ค่อยได้กัน และการพูดผิด tense ก็ยังพบได้บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ซีเรียสอะไรค่ะ คิดว่าค่อยเป็นค่อยไปยังมีเวลาฝึกฝนกันไปอีกนาน
อยากเป็นกำลังใจให้เพื่อน ๆ ที่มีลูกโตแล้วว่า เราสามารถทำได้ และทำได้จริง ถ้าเริ่มเลยตอนนี้และทำอย่างต่อเนื่องค่ะ
สุดท้ายหวังว่าข้อความย้าวยาวนี้จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ๆ บ้างนะคะ ใครมีข้อเสนอแนะ และคำถามยินดีค่ะ และเชิญเข้าไปติชมคลิป PM&KMได้ที่

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Whitney Houston death

Shock at Whitney Houston death

Pop legend Whitney Houston died Saturday aged 48 in a Beverly Hills hotel on the eve of the Grammys, triggering shock and a wave of tributes as music stars gathered for the annual awards show.
Pop legend and actress Whitney Houston, pictured in 2011, died Saturday in a Beverly Hills hotel, triggering shock and tributes as the music world gathered for the annual Grammy awards show. She was 48.
Houston, whose hits include "I will Always Love You," was found dead in her room at the Beverly Hilton, hours before a traditional pre-Grammys dinner hosted by veteran producer Clive Davis, who discovered Houston.
Musicians, many already in Los Angeles ahead of the Grammys on Sunday, lined up to pay tribute to the singer, who sold over 170 million records before descending into a very public battle with substance abuse.
"She was one of the greatest singers I ever heard," said veteran crooner Tony Bennett, on the red carpet at the Beverly Hills hotel, where Houston's body was found in her fourth floor room.
Police confirmed her death in a brief statement outside the hotel. "At 3:55 pm, Whitney Houston was pronounced dead at the Beverly Hilton hotel," said Mark Rosen, a police spokesman.
A member of her entourage called 911 after the singer was found on the floor of her room. Attempts were made to resuscitate her, but failed. The cause of death was not immediately known.
"There were no obvious signs of criminal intent at this time, and it is being investigated by the Beverly Hills police department," said the police spokesman.
But The Los Angeles Times reported that days before her death, Houston behaved erratically during an appearance Thursday at a rehearsal for a Grammy awards party.
Though she greeted people with a warm smile, she appeared disheveled, with mismatched clothes and dripping-wet hair, the paper said.
According to the report, the singer flailed her hands frenetically as she spoke, skipped around the ballroom in a childlike fashion and wandered aimlessly about the lobby.
People magazine and the TMZ celebrity website reported that Houston had been due to attend the Saturday night dinner, hosted by Davis -- who developed the young singer who made a string of 11 number one hits in the 1980s and 90s.
Condolences poured in on Twitter from shocked fans and from the famous, as sadness over the news spread through the entertainment world.
"Heartbroken and in tears over the shocking death of my friend ... She will never be forgotten as one of the greatest voices to ever grace the earth," wrote Mariah Carey.
Grammys organizing chief Neil Portnow called Houston "one of the world's greatest pop singers of all time who leaves behind a robust musical soundtrack spanning the past three decades.
"A light has been dimmed in our music community today, and we extend our deepest condolences to her family, friends, fans and all who have been touched by her beautiful voice," said the head of the Recording Academy.
Smokey Robinson told CNN: "I will always love her. She is one of the greatest voices in the history of music."
The Recording Academy is scrambling to include some kind of tribute to Houston in Sunday evening's show at the Staples Center in Los Angeles, according to CNN.
The tribute could involve singer Jennifer Hudson, it added, while Grammys producer Ken Ehrlich told the broadcaster whatever was staged would be "respectful" while highlighting her stunning music.
"Knowing Whitney as I did ... she knew the importance of thrilling an audience, and that's what we still plan to do."
With a ferociously powerful voice and a dazzling range, Houston achieved stardom as a pop-soul singer known as "The Voice" and the "Queen of Pop." She also appeared in hit movies like "Waiting to Exhale" and "The Bodyguard."
From a musical family that included mother Cissy Houston, a gospel star, and Dionne Warwick, her cousin, Whitney Houston started out as a teen model and then made a dazzling segue to music.
Her hits included "How Will I Know," "Saving all My Love for You," and "I Will Always Love You."
Houston's trove of six Grammy awards included one for record of the year -- for a soaring cover of Dolly Parton's "I Will Always Love You," and another for album of the year for "The Bodyguard."
Houston, who grew up in New Jersey, was also a supporter of the anti-apartheid movement and South Africa's Nelson Mandela, on whose behalf she campaigned during his imprisonment.
She struggled with substance abuse, which took a toll on her health and career.
In a 2009 interview with TV talk show hostess Oprah Winfrey, Houston blamed the emotionally abusive and jealous ex-husband Bobby Brown for many of her problems, admitted that she laced her marijuana with rock cocaine, and revealed that she'd spent time in rehab.
Houston has sold more than 170 million records worldwide but suffered a major career setback after admitting drug use during her relationship with Brown.
Brown was one of the hottest rhythm and blues singers in the late 1980s and early 90s, but became better known as the husband of Houston and for his frequent brushes with drugs and the law.
The pair, who were divorced in 2007, starred in a television reality series, "Being Bobby Brown," that featured their marriage, warts and all. They have a daughter Bobbi Kristina.

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

How to teach your baby to talk

Babies absorb so much in the first few years of life. It is amazing what an impact everything you do has on an infant and their development. With infants, it can sometimes be hard to tell what they are really taking in because they cannot yet communicate with words. Teaching a baby to speak is fundamentally important for their development. What they are able to absorb and learn in the very first few years of life will lay the foundation for all of their learning for the rest of their lives. No pressure, right?

Talk

Talk to your baby all the time, and I mean all the time. As you are changing them, tell them exactly what you are doing, step by step, and always speak in a soft, calming voice. Go through each step of everything you do with them. It may seem strange to say, "Now, I am taking off your diaper. I see that you are wet." or, "Look at this nice big bowl of applesauce! Doesn't it look yummy?" But babies respond to it, even if it may be hard to see it. Be sure to talk to them all through out your day. When you go to the store, point things out to them, tell them what you are buying, and keeping them entertained that way is a lot better than letting them play with your keys or your cell phone. You may get some funny looks from the other shoppers at the store, but who really cares?
Watch your baby's responses. When you talk to them, pause, as you would in a normal conversation, and give them time to respond. You know...just like you would if you were talking to an adult. Sometimes they may smile, babble, or giggle, or sometimes they may just make a face or sit there and watch you. This shows them that they can talk back, make noise or a face, or whatever. Either way, you are showing them the patterns of communication that they will use later on in life. It is also important for them to learn that it is just as important for them to talk as it is for you to talk. They will begin to feel that it is important for them to respond.

Read

Read to your baby at least once every day. Show them the pictures in the book and point out things in the pictures that go along with the story. Even if you are just reading a baby book of words, point out the picture of the ball, or the cat. They identify with things that they can see. They make the connection between the words that are spoken and the pictures that they can see. Even taking objects that they are familiar with and speaking the name of the object will enhance their vocabulary, and will help them make important connections between words and the world around them.
Reading to your baby doesn't have to be a long process. Babies don't have very long attention spans. It should only be about a five minute activity. Just pick a book to read to them, and also pick one for them to hold onto, and most likely chew on. Hold the book so both you and baby can see it. Point to the pictures as you name them off, or read the story. Books that also make noise or have fun textures for your baby to play with are also a great idea. It gives the book an added level of interest for when they are just playing with the book, making it a toy as well.

Sign

One more thing that I have used in raising my daughter, as well as my time working in child care, is sign language. Some may see this as a negative step towards teaching a baby to speak, but it only enhances their knowledge and their connection to the world around them. It improves a baby's ability to communicate. Teaching them to sign words like please, thank you, and more, gives them an outlet for communicating when speaking the words is still beyond their grasp. It eliminates some of the frustration babies experience from not being able to communicate their needs.
Being able to communicate their needs is important for learning communication skills, as well as fostering a bond between the child and the caregiver. If the infant feels his or her needs are being met, trust is formed between the child and the caregiver, and the infant learns that through communication, he or she can get what she needs or wants. It is basically a cause-and-effect learning situation.

Here are some tips for talking to your baby

Look at your baby's eyes while you are talking to her.
  • Call your baby by her name.
  • Keep your talk simple. Say "pretty baby." Use the words "mommy" and "daddy" when you talk to her.
  • Watch for your baby's expressions and listen to her sounds. Make these same sounds and facial expressions back to her.
  • Add gestures to your talk. Say "wave bye-bye to the dog" as you wave to the dog.
  • Ask your baby questions. "Would Maria like to have her milk now?" "Does Maria want to go outside?" Ask the questions even though she can't answer.
  • Talk about what you are doing. As you dress, bathe and change your baby, talk about what you're doing.
  • Read to your baby. Babies love nursery rhymes and poems. You can even use a lively voice and read your favorite magazine or book to her. If you can, use books with stories that include a baby, a rattle or other common things. (You can find lots of children's books at your public library.)
  • Sing to your baby. It is important while she begins to learn language skills.
  • Watch for signals from your baby when you are talking to her. If she is smiling and keeping eye contact, she is saying she wants you to keep on talking.