วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

บ้านสวยๆออกแบบโดย Herbst Architects

Under Pohutukawa

2011 NZIA Jury Citation:
“This bach is nestled exquisitely under and around a dense Pohutukawa grove near the beach.
The architecture takes inspiration and form from the trees, yet is self assured and confident within such a rich environment.
Beautifully detailed, using the finest materials, this is an open and relaxed pavilion that encourages its inhabitants to dwell luxuriously beneath the canopy.”
Awards
NZIA Auckland architecture award 2011
Published
2012 - MONOCLE (UK) feb2012 issue50 vol05 pg119-122 "Bach life Piha"
Photographer
Patrick Reynolds
Contractor
John Armstrong
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

Jayesslee

Jayesslee สองสาวพี่น้อง ที่โด่งดังใน youtube และในตอนนี้เธอทั้งสอง ได้ลัดฟ้ามาเยือนประเทศไทย เป็นครั้งแรก พร้อมกับจะมีคอนเสิร์ต “A Beautiful Evening with Jayesslee Live in Bangkok” ให้คนไทยได้ชมกันอีกด้วย




เจนิส และ โซเนีย ลี (Janice – Sonia Lee) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เจย์เอสลี” (Jayesslee) พวกเธออายุเพียง 24 ปี  เป็นฝาแฝดกัน โดยมีเชื้อสายเกาหลี แต่เติบโตที่ซิดนีย์ ออสเตรเลีย ถึงแม้พวกเธอจะไม่ได้มีวงกับค่ายดังใดๆ แต่เธอทั้งสองก็แจ้งเกิดได้จากโลกไซเบอร์ หรือ youtube ไม่ได้แพ้ศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียงคนอื่นเลย








โดยคอนเสิร์ต “A Beautiful Evening with Jayesslee Live in Bangkok” จะมีขึ้น 2 รอบเวลา คือ 14.00 น. โดยมีศิลปินรับเชิญคือ “แหนม รณเดช” และรอบเวลา 19.00 น. โดยมีศิลปินรับเชิญคือ “รูม 39” ที่มีจุดเริ่มต้นจากโลกไซเบอร์เช่นเดียวกัน ในวันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม ที่เซ้นเตอร์พ้อยน์ เพลเฮ้าส์(เซ็นทรัลเวิร์ด)หรือ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/JayessleeThailand และทาง www.youtube.com/user/Jayesslee

Missing You Tamia (Jayesslee cover)

จะทำอย่างไรให้ลูกเชื่อในสิ่งที่สอน

หลายคนคงเคยเจอปัญหาเกี่ยวกับการปกครองในครอบครัวระหว่างพ่อกับลูกหรือแม่กับลูกก็แล้วแต่ ปัญหาคือลูกมักมองพ่อแม่เป็นศัตรู และไม่สนใจคำสั่งสอนของพ่อแม่  เพราะอะไร และจะทำอย่างไร???
เราทุกคนที่เกิดมาจะมีพ่อแม่เป็นเบ้าหลอม ตั้งแต่เกิดจนโต  จึงจะเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองแก้ปัญหาเองได้  เราเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ต่อเมื่อเราต้องเผชิญชีวิตด้วยตัวเองประสบการณ์ที่เราเจอะเจอรอบตัวจะสอนเราแทนพ่อแม่  แต่เรามักจะมีทัศนะคติและวิธีมองและแก้ปัญหาแบบเดิมๆซ้ำๆ จากการดูดซับประสบการณ์จากในครอบครัว นำไปใช้ในสังคมด้วยตัวเราเอง   ทำให้เราแต่ละคนมีนิสัยต่างกัน  เช่น ชอบแก้ปัญหา  หรือ หนีปัญหา  ,ชอบความตึงเครียด หรือ หนีความตึงเครียด ,ชอบคิดเพ้อฝันหรืออยู่กับโลกแห่งความจริง ,มองคนเป็นมิตรหรือมองคนเป็นศัตรูไม่ไว้ใจใคร เหล่านี้ มาจากเบ้าหลอมที่เกิดในครอบครัวทั้งนั้น  
 แล้วเมื่อไหร่เราจึงจะเริ่มไม่ฟังพ่อแม่และเริ่มประมวลผลเพื่อการตัดสินใจเองล่ะ???
เท่าที่จำได้ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับคนรอบข้างด้วยตัวเองเพียงลำพังเมื่อเริ่มเข้าโรงเรียน และเริ่มที่จะต้องตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยตัวของตัวเองอยางจริงจัง เสริมสร้างให้เป็นบุคลิกของผมมาเรื่อยๆ จนโตและแก่  ผมจึงคิดว่า ถ้าจะสร้างเบ้าหลอมให้เด็กควรจะเริ่มตั้งแต่เกิดจนเริ่มเข้าเรียน และเมื่อเข้าเรียนนั่นแหละคือเวลาที่ผมจะได้แสดงความเป็นตัวตนหลังจากที่ได้ถูกหล่อหลอมมา
จึงพบว่ามีเวลาเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้นที่พ่อแม่จะสามารถหล่อหลอมลูกๆให้เป็นไปตามตั้งการได้ แต่จะทำอย่างไรล่ะ เราไม่รู้เลยว่าทำอย่างไร แล้ว ผลลัพธ์ จะเป็นอย่างไร ???
เราอยากให้ลูกเป็นคนแบบไหน ?    ผมว่า 10 ครอบครัว ก็ 10 แบบ   แต่นิสัยที่พวกเรายอมรับกันว่าจะทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ที่สามารถอยู่รอดในสังคมได้ก็คงจะเป็น
                1.ความร่าเริงและมีทัศนคติด้านบวก  ความร่าเริงจะทำให้คนที่เรารักมีความสุขรวมถึงทำให้เราด้วย
                2.ความขยัน   แม้ว่าหลายๆคนจะขี้เกียจ แต่ก็มักจะอยากให้คนที่เรารักขยัน ไม่มากก็น้อย 
                3.ความมีน้ำใจ  ความมีน้ำใจจะทำให้คนอื่นรักและสามารถเป็นผู้นำต่อไปได้ไม่ยาก
                4.ความคิดสร้างสรรค์    เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ในยุคนี้ ซึ่งเมือได้มาแล้วก็ยากที่จะรักษามันไว้ด้วย
1.ความร่าเริงและมีทัศนคติด้านบวก
หลายคนคงเห็นด้วยว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับการทำให้เด็กคนหนึ่งมี่อารมณ์ดีและมีความร่าเริง   ถ้าภายในครอบครัวไม่มีปัญหาใดๆ เด็กก็มักจะอารมณ์ดี  แต่บางทีก็ไม่สามารถควบคุมปัญหาบางอย่างได้  เช่น ความเจ็บป่วยของคนในครอบครัว ,ปัญหาเรื่องค่าครองชีพ ,ปัญหาเรื่องอารมณ์พื้นฐานของคนในครอบครัวที่มากระทบตัวเด็ก  เหล่านี้ทำให้ลูกเกิดความเครียดและมีทัศนะคติกับหลายสิ่งไปในทางลบ หรือกลัวกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จนกลายเป็นคนขาดความมั่นใจ    พ่อแม่จึงควรมีกลยุทธ์ หรือวิธีที่จะแก้ปัญหาในการขจัดความเครียดออกไปจากตัวเองให้ได้ก่อน  สรุปคือทำอย่างไรให้พ่อแม่ไม่เครียดนั่นเอง แล้วปัญหาจะไม่ไปกระทบที่ตัวเด็ก หรือกระทบน้อยที่สุด
แล้วถ้าเกิดพบว่าลูกเป็นเด็กซึมหรือเครียดจะทำอย่างไร??     การให้เขาสนใจในการทำกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญครับเพื่อให้เกิดสมาธิและมองเห็นความสวยงามของโลกใบนี้  รวมถึงการหัดสวดมนต์ทำสมาธิ เพื่อให้เขาใช้เป็นเครื่องมีสงบความคิดต่อไปเมื่อเขาโต  เพราะหลายคนที่เป็นผู้ใหญ่มีความเครียดแต่ไม่เคยทำสมาธิ จะหาทางออกไม่ได้จนเกิดอาการป่วยทางใจ
ความขยัน                               
เด็กส่วนมากเกิดมา มีความขี้เกียจเป็นทุนเดิม  ใครที่มีความขยันติดตัวมาจึงถือว่าเป็นบารมีของเด็ก แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พ่อแม่ก็คงต้องพยาลยามสร้างสิ่งเหล่านี้ให้กับลูก   ความขยันเป็นคำกว้างๆ หมายถึง ทำสิ่งต่างๆบ่อยๆจนเป็นนิสัย เช่นขยันเรียน  ,ขยันกิน  ,ขยันเล่น   แสดงว่าความขยันที่พ่อแม่ต้องการต้องไปในทางที่ดี ก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเด็ก  ซึ่งประกอบด้วย  ความสนใจในสิ่งที่ดี  บวกกับสมาธิ  ในการทำสิ่งนั้นได้นานๆ จึงเรียกว่าความขยัน  พ่อแม่จึงมีหน้าที่นำเสนอสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ให้กับลูก และระมัดระวังสิ่งที่ไม่ดีหรือก่อให้เกิดประโยชน์น้อยที่อาจจะไปโดนใจลูกทำให้เกิดความสนใจ  เช่น การเล่นเกมส์ , การอ่านการ์ตูน  ,การดูโทรทัศน์ ส่วนในเรื่องของสมาธิก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก พ่อแม่สามารถหล่อหลอมลูกให้เกิดสมาธิได้ด้วย พฤติกรรมในครอบครัว  เช่น ฝึกให้ลูกทำอะไรโดยไม่มีสิ่งอื่นมารบกวน คอยควบคุมพฤติกรรมลูกให้ทำสิ่งต่างๆอย่างมีสติและมีสมาธิ จนเพิ่มขึ้นไปทีละเล็กละน้อย   ถ้าทำได้ก็จะเกิดเป็นความขยันในเรื่องที่ดีและก่อประโยชน์ได้เอง
แล้วถ้าเกิดพบว่าลูกขี้เกียจเรียนหรือทำงานจะทำอย่างไร ??   แสดงว่าลูกขาดการดูแลใกล้ชิดจากพ่อแม่จึงไม่รับการสั่งสมระเบียบวินัย  วิธีการคือ ให้เขาร่วมทำกิจกรรมกับคุณในการทำงานบ้าน อย่างสม่ำเสมอ และเมื่อเขาทำการบ้านคุณต้องร่วมทำกับเขาด้วย ถ้ามีอาการเบื่อหน่ายหรืออิดออด อาจมีการให้รางวัลเล็กน้อยหลังจากการทำการบ้านเพื่อให้ความตั้งใจและมีสมาธิ อย่าคิดว่าเป็นการเสียนิสัยที่จะต้องจ้างตลอด เพราะนั่นเป็นคนละเรื่องกันครับ  เมื่อเขาตั้งใจทำการบ้านจนเป็นนิสัย เราก็ไม่ต้องจ้างแล้ว เขาจะทำเองโดยสมาธิ
ความมีน้ำใจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กส่วนมากมักจะมีนิสัยอยากได้ของคนอื่น บางคนกลายเป็นเด็กขึ้ขโมย  แต่พอโตขึ้นมานิสัยนี้ก็จะค่อยๆเบาลง แต่ไม่ได้หายไปไหน ยังคงซ่อนอยู่ในตัวของคนหลายคน ทำให้เป็นคนขึ้เหนียว เห็นแก่ได้ ไปจนถึงทำให้เกิดเป็นความโลภ และนำมาซึ่งการคดโกงต่อสังคม ต่อบ้านเมือง   พ่อแม่สามารถสร้างความมีน้ำใจขั้นพื้นฐานให้กับลูกได้ด้วยการสอนให้ลูกรู้จักเชื่อมโยงคนในสังคมรอบข้างเข้าด้วยกัน ว่าแต่ละอาชีพมีคุณประโยชน์อย่างไรต่อสังคม เราควรให้ความช่วยเหลือสังคมอย่างไรบ้าง  โดนสอนทั้งทางคำพูดและการกระทำเช่น การให้ยืม การบริจาคสิ่งของ และเงินช่วยเหลือให้กับคนที่เดือดร้อน ไม่ว่าเพื่อนหรือญาติหรือคนที่ต้องการความช่วยเหลือรอบข้าง
แล้วถ้าพบว่าลูกเป็นคนเห็นแก่ได้หรือไม่มีน้ำใจจะทำอย่างไรล่ะ??    สร้างกิจกรรมขึ้นมาโดยตั้งกองทุนขึ้นมา 1 ก้อน แล้วให้ลูกเลือกว่าจะไปทำบุญที่ไหน  โดยทำอย่างสม่ำเสมอ ทุกเดือนหรือ วันสำคัญ  ทำอาหารหรือขนมให้ลูกไปให้เพื่อน เพื่อให้ลูกได้รับความภูมิใจ จากเพื่อนๆ

ความคิดสร้างสรรค์
คงต้องอาศัยความฉลาดคิดของพ่อแม่ ครู และคนรอบข้าง หรือถ้ามีฐานะอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้  แต่ในขั้นพื้นฐานสามารถฝึกได้จากการเล่นและการใช้ชีวิตประจำวัน การเลือกสีที่ชอบ การเลือกสิ่งที่ชอบ การนำสิ่งต่างๆมาเชื่อมโยงกัน การสร้างเรื่องราวง่ายๆ   ที่สำคัญ อย่าหัดให้ลูกเป็นผู้อุปโภคเพียงอย่างเดียว เช่น ฟังเพลง ดูทีวี เล่นของเล่น โดยไม่ลองให้ลูกลองทำตามเลย เช่น หัดให้ร้องเพลง  เต้น  เล่นเกม  กำหนดหรือสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา   ซึ่งพ่อแม่คงต้องคิดให้ได้ก่อนหรือปรึกษาผู้เชียวชาญ 
ถ้าพบว่าลูกไม่มีความคิดสร้างสรรค์จะทำอย่างไรล่ะ ??     ปล่อยวางกฎระเบียบต่างๆลงบ้าง ให้เด็กได้เล่นให้มากขึ้น ไม่ว่ากีฬาหรือการละเล่นอื่น ๆ รวมถึงงดกิจกรรมการนั่งดูทีวีเฉยๆ

เอาล่ะทั้งหมดนี้คือการหล่อหลอมลูกน้อยให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะสังเกตว่าไม่ได้อยู่ที่การสั่งสอนหรือพูดให้ฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่ต้องกระทำโดยให้เวลากับลูกให้มากที่สุด  การสอนหรือพูดให้ลูกเชื่ออย่างที่จ่าหัวไว้จึงเป็นวิธีสุดท้ายที่พึงกระทำ  ปัญหาที่ลูกไม่เชื่อจึงหมดไปโดยปริยาย  แน่นอนไม่มีใครเชื่อคนที่ดีแต่พูดไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่......หรือคุณอยากให้ลูกโตมาแบบพูดดีแต่ไม่ทำ หรือทำไม่ได้

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

อย่าสนใจสิ่งไม่ดีของคนอื่น

คนเราเกิดมาก็มีทั้งนิสัยที่ดีและไม่ดีติดตัวมาด้วยตั้งแต่เกิด ยังไม่รวมที่มาเพิ่มตอนโตอีก ซึ่งเจ้าตัวเองก็มักจะไม่รู้ตัว นิสัยดีๆ ก็ได้แก่ ความมีน้ำใจ หรือใจดี  ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ๆได้รับมอบหมาย ความสนใจในการศึกษาวิชาต่างๆ ไปจนถึงการมีนิสัยมองโลกในแง่ดี ไม่คิดเล็กคิดน้อย ทำให้ผู้อื่นอึดอัดใจ  ทั้งหมดนี้แต่ละคนน่าจะมีบ้าง ไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง  ถ้าไม่มีเลยก็พึงสังวรณ์ไว้ว่าคงจะเอาดีได้ยากหน่อย
        ในส่วนนิสัยที่ไม่ดี ก็ได้แก่ ความไม่มีน้ำใจ ขี้เหนียว เห็นแก่ได้ เอาแต่ใจตนเอง ไปจนถึง นิสัยโหดเหี้ยม  ความไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ความสนใจในอบายมุขต่างๆ กินเล่นไปวันๆ  การมีนิสัยที่มองทุกอย่างในแง่ร้าย คิดเล็กคิดน้อย ทำให้ผู้อื่นอึดอัดใจ  หลายคนจะมีนิสัยแบบใดแบบหนึ่งไม่มากก็น้อย ซึ่งอาจจะไม่รู้ตัวเอง หรือ รู้แต่ระงับความรู้สึกและพฤติกรรมไว้ไม่ได้  เช่นรู้ว่าตัวเองขึ้เกียจแต่ก็แก้ไขไม่ได้
        ทั้งหมดที่เกริ่นนำไว้เพื่อที่จะเข้าประเด็นในเรื่องของการใช้ชีวิตในสังคมที่จะต้องเจอะเจอกับคนทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับชีวิตทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน เรามักจะต้องสัมผัสกับนิสัยที่ไม่ดีของคนที่เราเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีผลกับตัวเราทั้งด้านการดำเนินชีวิตและระบบความคิด
        อยากจะกล่าวในเรื่องผลด้านระบบความคิด เพราะมีผลกระทบที่ใหญ่หลวงนัก  การนึกตำหนิใครสักคนในใจหรืออาจจะลึกไปจนถึงการเกลียดทุกอย่างที่เป็นเขาคนนั้น  ย่อมพาตัวเองไปสู่กำดักในเรื่องของจิตคือจิตที่คิดต่อต้านและปิดกั้นจนไม่เกิดปัญญา  เพราะปัญญาเกิดจากสมาธิ เมื่อขาดสมาธิและบวกด้วยมิจฉาทิฐิจึงไม่เกิดปัญญาที่จะแก้ปัญหาหรือสร้างสรรค์สิ่งใดๆได้  เช่นเราเกลียดคนๆหนึ่ง แต่คนๆนั้นชอบดอกไม้มาก พอเราเห็นดอกไม้ที่ไหนก็จะพาลนึกถึงคนที่เราเกลียดทำให้เราไม่อยากเห็นดอกไม้อีกต่อไป ใจก็ปิดกั้นไม่ให้เห็นความงามของดอกไม้
       จึงควรต้องรู้จักลดความเกลียดชังลงซะบ้างและมองแต่สิ่งที่ดีรอบๆตัวเพื่อสามารถนำมาใช้ต่อเติมเสิรมจิตและปัญญาของตัวเองให้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีต่อไป  การละความเกลียดคงไม่ได้ทำได้ง่ายๆ แต่ต้องใช้การฝึกฝนสมาธิและทดลองมองหาข้อดีของคนรอบข้างเพื่อเอามาใช้ประโยชน์ต่อไป
       

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

ดูแลคนรอบข้างเหมือนร่างกายของคุณ

คงไม่มีใครเกลียดอวัยวะภายในร่างกายของตนเองแน่นอน ถ้าเขาคนนั้นไม่ใช่คนที่วิกลจริตหรือยกเว้นไว้ให้กับพวกที่ต้องการเปลี่ยนเพศให้เป็นไปตามที่ตนเองอยากได้เท่านั้น    ทีนี้เราลองมาไล่ดูอวัยวะแต่ละส่วนของเราตั้งแต่เล็บเท้า เล็บมือ แขน ขา ผิวหนัง ไปจนถึงหน้าตา  อวัยวะเหล่านี้ มีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนคนหนึ่ง เรียกว่าถ้าขาดมันก็จะทำให้คนคนนั้นทุกข์ไปทั้งชีวิต ยิ่งกว่านั้นถ้าสามารถบำรุงสิ่งเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพ และดูสวยงามก็จะสามารถเพิ่มคุณประโยชน์ได้อีกมากขึ้นเป็นทวีคูณ  แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ไม่เห็นความสำคัญของมันและไม่ดูแลเอาใจใส่หรือแม้กระทั่งสนใจร่างกายของตนเอง ปล่อยให้เสื่อมไปตามวาระหรือบางทีก็ทำลายมันให้เสื่อมก่อนถึงวาระโดยไม่รู้ตัว  จนสุดท้ายต้องเสียมันไป และก่อให้เกิดทุกข์อย่างมหันต์
             มาถึงตรงนี้ ถ้าจะเปรียบคนรอบข้างที่สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองเหมือนอวัยวะในร่างกาย ก็ต้องย้อนกลับไปคิดว่า เราเคยเกลียดคนเหล่านี้หรือไม่ ในเมื่อเขาเหล่านั้นต่างให้ประโยชน์กับเรา แล้วเราไปเกลียดเขา ก็เหมือนกับเกลียดแขนขาตัวเอง ทีนี้จะหยิบจับจะเดินได้อย่างไร  เราบำรุงเขาเหล่านั้นให้ดีหรือไม่เพื่อให้เขาอยู่กับเรานานๆ สร้างประโยชน์ให้กับเราต่อไป   เมื่อคิดแบบนี้ก็จะรู้สึกว่า การเกลียดคนใกล้ชิดนั้นก่อให้เกิดทุกข์อย่างมหันต์ และควรหันมาตั้งสติ ปฏิบัติกับคนรอบข้างให้ดีรวมถึง อวัยวะในร่างกายของเราเองด้วย

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

แสดงตัวตนออกมาสิ

ในสมัยก่อน เรามักเชื่อกันว่าคนที่มีมนุษย์สัมพัสธ์ ที่ดีจะมีคนรักและมีโอกาสที่ดี  แต่ในศตวรรษที 21 นี้ การมีมนุษย์สัมพันธ์ ที่ดีคงไม่เพียงพอ สัมหรับการแข่งขันที่สูง คนที่มีความสามารถในด้านต่างๆมีมากมายทั่วโลก  การที่คุณจะได้รับการยอมรับในสังคมและมีความก้าวหน้าในอาชีพ และมีโอกาสเข้ามาในชีวิตมากมาย
คุณจะต้องแสดงตัวตนออกมาให้คนอื่นเห็นทั้งความสามารถต่างๆและแนวคิดส่วนตัว แน่นอนบางคนอาจจะแสดงความรู็สึกและแนวคิดที่รุนแรงมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ซึ่งอาจจะไม่ได้รับการยอมรับ แต่นั่นก็เป็นตัวคุณมิใช่หรือ และถ้าคุณพร้อมที่จะแชร์ความคิดความรู้สึกร่วมกับสังคม สัมคมก็พร้อมที่จะยอมรับคุณและเปิดโอกาสต่างๆให้คุณได้ทดสอบตัวเอง พัฒนาตัวเองไปจนสามารถเป็นผู้นำสังคมในด้านใดด้านหนึ่ง เพราะฉะนั้น อย่าอยู่เฉยไปวันๆ และ ปิดตัวตนของคุณไม่ให้คนอื่นรู้จัก เพราะมันจะทำให้คุณเสียโอกาสดีๆในชีวิตไป  ทั้งเพื่อนที่ดี งานที่ดี สถานที่ที่ดี   อื่นๆ......

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ของเล่นของลูก

เป็นของชิ้นแรกที่ซื้อให้ลูกตอน อยู่ในท้อง 4 เดือนแล้ว เพื่อให้แม่อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน



เป็นของขวัญชิ้นที่ 2 ที่ซือให้ลูก ในช่วงปีใหม่ 2555 ตอนลูกอยู่ในท้อง 5 เดือน เพื่อเล่นดนตรีให้ลูกฟัง